var popunder = true; พฤษภาคม 2014 | Learning On-Line. สื่อการเรียนรู้ออลไลน์
welcome to oomv26.blogspot.com ดีต้อนรับสู่เว็บบล็อกของ ยิ่งยง แซ่ว่าง ครับ

5/29/2557

คำไวพจน์




  คำไวพจน์



         คำไวพจน์ (การหลากคำ)  เป็นชื่อเรียกคำในภาษาไทยอีกพวกหนึ่ง มีความหมายต่างกันเป็น ๒ นัย
                  -        นัยหนึ่งพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช ๒๕๔๒ ให้คำอธิบายว่า "คำที่เขียนต่างกันแต่มีความหมายเหมือนกันหรือใกล้เคียงกันมาก เช่น มนุษย์ กับ คน บ้าน กับ เรือน รอ กับ คอย ป่า กับ ดง คำพ้องความ ก็ว่า" (พจนานุกรม ๒๕๔๒ หน้า ๑๐๙๑)
                  -         และในที่เดียวกันนี้ได้ให้ความหมายที่พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) กล่าวไว้ในหนังสือแบบเรียนภาษาไทย ด้วยว่า หมายถึง "คำที่ออกเสียงเหมืมอนกันแต่เขียนต่างกันและมีความหมายต่างกัน เช่น ใส กับ ไส โจทก์ กับ โจทย์ พาน กับ พาล ปัจจุบันเรียกว่า คำพ้องเสียง"
         ปัจจุบัน มีการศึกษาคำที่พ้อง และแบ่งออกเป็น ๓ กลุ่ม คือ คำพ้องรูป คำพ้องเสียง และคำพ้องความหมายหรือคำพ้องความ คำพ้องรูป คือคำที่มีรูปเขียนเหมือนกัน มีความหมายต่างกัน ออกเสียงต่างกันหรือเหมือนกันก็ได้ เช่น คำว่า ชิน แปลว่า คุ้นจนเจน หรือผู้ชนะ หรือเนื้อโลหะเจือชนิดหนึ่ง คำพ้องเสียง (คำไวพจน์ของพระยาศรีสุนทรโวหาร) คือคำที่เขียนต่างกัน มีความหมายต่างกัน ออกเสียงเหมือนกัน เช่น คำว่า ใจ กับ ไจ จร กับ จอน คำพ้องความ (คำไวพจน์ของพจนานุกรมราชบัณฑิตฯ) คือคำต่างรูป ต่างเสียง แต่มีความหมายเหมือนหรือใกล้เคียงกัน เช่น กิน กับ รับประทาน กัลยา นารี สุดา สมร หญิง เป็นคำพ้องความกัน











 ตัวอย่างคำไวพจน์
                   ๑. พระอาทิตย์
-          ทินกร, ทิวากร , ภาสกร , ภากร , รวี , ระพี , ไถง (คำเขมร) , ตะวัน , อาภากร , อังศุมาลี , สุริยะ, สุริยา , สุริยัน , สุริยน , สุริยง , ภาณุ ภาณุมาศ , อุษณกร , ทยุมณี , อหัสกร , พรมัน , ประภากร , รังสิมันต์ , รังสิมา , รำไพ ,
                   ๒. พระจันทร์
-          แข (คำเขมร) , รัชนีกร , บุหลัน ( คำชวา) , นิศากร , เดือน , ศศิ , ศศิธร , โสม , กัษษากร , นิศาบดี , ศิวเศขร , อินทุ ,วิธู , มาส , รชนี
                   ๓. ท้องฟ้า
-          อัมพร , คัคนานต์ , นภาลัย , โพยม , นภางค์ , ทิฆัมพร , เวหา , หาว , เวหาส
                   ๔. แผ่นดิน
-          ธรณี , ปฐพี , ธาตรี , ธรา , หล้า , เมทินี , ภูมิ , ภพ , พสุธา , ธาษตรี , โลกธาตุ , ภูวดล, พิภพ , พสุธาดล , ปัถพี ,ปฐวี , ปฐพี , ธราดล , ภูตลา , พสุนทรา , มหิ , พสุมดี , ธรณิน
                   ๕. ภูเขา
-          คีรี , สิงขร , บรรพต , ไศล , ศิขริน , สิงขร , พนม , ภู , ภูผา
                    ๖. ป่า
-          ไพร , พง , ดง , อรัญ , พนา ,ชัฏ , เถื่อน , พนัส , ไพรวัน, พงพี, พงไพร, ไพรสัณฑ์, พนาดร , พนาลี , พนาวัน,
อรัญญิก
                  ๗. พระพุทธเจ้า
-          พระสัมมาสัมพุทธเจ้า , พระสัพพัญญู , พระโลกนาถ , พระสุคต ,พระผู้มีพระภาคเจ้า , พระสมณโคดม , พระศากยมุนี พระธรรมราช , พระชินสีห์ , พระทศญาณ , มารชิต , โลกชิต , พระทศพลญาณ , พระตถาคต , พระชินวร , ชินศรี
                  ๘. ทองคำ
-          สุวรรณ , สุพรรณ , เหม , กนก , มาศ , อุไร , จารุ , ตปนียะ , กาญจน์
                  ๙. เงิน
-          รัชตะ , รัชฎา , ปรัก , หิรัญ , รชต
                  ๑๐. น้ำ
-          อาโป , อุทก,วารี,ชล, คงคา , นที, สินธุ์ ,สาคร ,สมุทร , ชลาลัย , อุทก , ชโลทร , มหรรณพ,ชลธาร , ชลาศัย ,ชลธี,ธาร,ธาราสลิล, อรรณพ ,สินธุ , สาคเรศ ,อุทกธารา , อุทก ,อัมพุ ,วารี ,กระสินธิ์





ที่มา:http://www.sahavicha.com

5/22/2557

used to,be used to หรือ get used to





***ความแตกต่างระหว่าง used to กับ be used to แตกต่างกันตรงไหนและใช้อย่างไร เรามาทำความรู้จักกับ used to และ be used to และ get used to กันค่ะ



Photobucket

Used to จะใช้เพื่อบอกนิสัยที่เป็นอดีต เป็นการให้ข้อมูล โดยไม่มีอารมณ์ความรู้สึกแทรก ใช้ กับการอธิบายถึงกิจกรรมที่คุณเคยทำแต่อาจไม่ทำแล้ว เช่น

ØI used to get up late.
(เมื่อก่อนนี้ ฉันเคยตื่นสาย แต่ปัจจุบันนี้ฉันไม่ได้ตื่นสายแล้ว)
……….



Photobucket

be/get used to ( เคยชิน ) +v.ing

สำหรับ be/get used to จะใช้เพื่อแสดงความรู้สึกของผู้พูดว่า มีความเคยชินกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยอาจจะมีความรู้สึกเชิงบวกด้วย โดยที่สามารถเปลี่ยนเวลาเป็นปัจจุบันกาลหรืออดีตกาลที่ be หรือ get ตัวอย่างเช่น


ØI got used to walking around this park when I was young .
( ฉันชินกับการเดินรอบๆ สวนสาธารณะนี้ตอนเด็กสื่อถึงความรู้สึกดีๆ ของกิจกรรมนี้ )



แต่ถ้าแทรกกริยา to be เข้าไประหว่างประธานกับ used to จะเปลี่ยนความหมายเป็น เคยชิน

Ø I am used to listening to very loud music. (ฉันเคยชินกับการฟังเพลงที่เสียงดังมากๆ)




เมื่อจะใช้เป็นประโยคปฏิเสธก็เติม not ลงไปหลังVerb to be เช่น
ØI am not used to drinking coffee without sugar
ฉันไม่ชินกับการดื่มกาแฟไม่ใส่น้ำตาล


*วิธีการสังเกตง่ายๆในการเลือกว่าจะใช้ used to หรือ be used to

1. นักเรียนต้องทราบความหมายว่า used to แปลว่า เคย (เคยทำในอดีต แต่ตอนนี้ไม่ได้ทำแล้ว)
2. ส่วน be used to หรือ get used to นั้น แปลว่า เคยชิน วิธีการดูง่ายๆ คือ be used to ต้องตามด้วย verb ที่เติม ing เสมอค่ะ



แบบฝึกหัด

1 Jim doesn't have a girlfriend now but he _________________.
A didn't use to
B used to
C was using to
___________


2 People _________________ the Internet yet but in a few years time everybody will be surfing around like crazy.
A aren't used to using
B don't use
C isn't used to using
___________



3 I _________________ to play football when I was young. I'm too old and fat to play now.
A use
B got used to
C used
___________



4 Pepe Juan was in London for a year. He liked England but he _________________ the insipid food and the miserable weather.
A could ever get used to
B could never get used to
C can ever get used to
___________



5 I've been getting up early every day for years but I _________________ to it.
A used
B am still not used
C am already used
___________



6 If you go to live in the United Kingdom, you_________________ on the left.
A 'll have to get used to drive
B 'll have to get used to driving
C 'd have had to get used to
___________



7 At first it was difficult for her to speak in French all the time but she _________________ to it now.
A is used
B uses
C gets used
___________



8 After the holidays it takes me a week _________________ up early again.
A to get used to getting
B to be used to getting
C to get used to get
___________



9 The queue in the baker's _________________ to be so bad but now it's terrible. It must be that new chapata bread they bake. It's delicious.
A didn't use
B didn't used
C was used
___________



10 Do you mind if I _________________ your phone?
A used
B am using
C use
___________









เฉลย1B 2A 3C 4B 5B 6B 7A 8A 9A 10C



ที่มา:http://www.bloggang.com

ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต





ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต
ชีววิทยาคืออะไร

ชีววิทยา คือ การศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต รากศัพท์ของคำนี้มาจากภาษากรีก คือ ไบออส (bios) ซึ่งหมายถึงสิ่งมีชีวิต และโลกอส (logos) ที่หมายถึง ความคิดและเหตุผลการศึกษาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตสามารถศึกษาได้หลายระดับ ตั้งแต่ระดับใหญ่ เช่น การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประชากรสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม การศึกษาความสัมพันธ์์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกลุ่มต่างๆ การศึกษาลักษณะรูปร่าง การดำรงชีวิตและการจัดจำแนกสิ่งมีชีวิต สำหรับการศึกษาในระดับย่อยลงมา เช่น การศึกษาองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต ได้แก่ อวัยวะ เนื้อเยื่อ และเซลล์ ในด้านโครงสร้างและหน้าที่การทำงาน

นอกจากนี้ชีววิทยายังครอบคลุมถึง การศึกษาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตในระดับโมเลกุล อะตอมที่เป็นองค์ประกอบทางเคมีของเซลล์ เช่น โมเลกุลดีเอ็นเอ (DNA) อาร์เอ็นเอ (RNA) โมเลกุลของสารอินทรีย์และอะตอมของธาตุต่างๆที่พบในสิ่งมีชีวิต รวมถึง การศึกษาเรื่องปฏิกิริยาเคมี และพลังงานที่เกิดขึ้นในร่างกายสิ่งมีชีวิตอีกด้วย จะเห็นได้ว่า ชีววิทยานั้นเกี่ยวข้องกับความรู้ต่างๆหลายสาขา ทั้งทางด้านเคมี ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ และคอมพิวเตอร์ ที่สามารถประยุกต์นำมาใช้อธิบายหรือจำลองความเป็นไปของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย เพื่อตอบปัญหาต่างๆที่มนุษย์สงสัยเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตได้

คุณสมบัติของสิ่งมีชีวิต

ความ แตกต่างระหว่างสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตนั้นมีหลายประการ ในการศึกษาทางด้านชีววิทยามีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องสามารถแยกให้ได้ว่าสิ่งใดคือสิ่งมีชีวิตและสิ่งใดคือสิ่งไม่มี ชีวิตเสียก่อน จึงสามารถศึกษาในขั้นต่อไปได้อย่างถูกต้อง ซึ่งลักษณะที่สำคัญของสิ่งมีชีวิต ได้แก่

1. มีโครงสร้างและการทำหน้าที่อย่างเป็นระบบ (organization)ในสิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะสิ่งมีชีวิตชั้นสูงจะมีการทำงานประสาน กันตั้งแต่ระดับหน่วยย่อยภายในเซลล์ (organelle) กลุ่มเซลล์ (tissue) และอวัยวะ (organ) ต่าง ๆ อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ

2. มีการรักษาสมดุลภายในร่างกาย (homeostasis)การรักษาสมดุลภายในร่างกาย เช่น ระดับอุณหภูมิ ค่าความเป็นกรด-เบส (pH) และความเข้มข้นของสารต่างๆให้อยู่ในจุดที่ไม่เป็นอันตราย ต่อเซลล์

3. มีการปรับตัว (adaptation)สิ่งมีชีวิตพยายามปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมอยู่เสมอ เช่น การเปลี่ยนสีของผิวหนังในสัตว์เลื้อยคลาน เพื่ออำพรางศัตรู การที่ปลามีรูปร่างเพรียวไม่ต้านกระแสน้ำ การลดรูปของใบจนมีลักษณะคล้ายเข็มในต้นกระบองเพ็ดเพื่อลดการสูญเสียน้ำเพราะ เจริญอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นทะเลทราย การปรับตัวของสิ่งมีชีวิตเป็นไปก็เพื่อให้้สามารถอยู่รอดในสิ่งแวดล้อมที่ มันอาศัยอยู่และสามารถสืบทอดลูกหลานต่อไปได้นั่นเอง

4. มีการสืบพันธุ์และถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม (reproduction and heredity)สิ่งมีชีวิตต้องสามารถสืบพันธุ์ได้ เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ไว้ไม่ให้สูญสิ้นไป โดยอาจอาศัยวิธีีสืบพันธุ์โดยอาศัยเพศ (sexual reproduction) หรือไม่อาศัยเพศ (asexual reproduction) อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองวิธีก็ได้ เมื่อมีการสืบพันธุ์ สิ่งมีชีวิตจะถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมไปยังลูกหลานโดยอาศัยสารพันธุกรรม ซึ่งได้แก่ ดีเอ็นเอ และอาร์เอ็นเอ ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นตัวเก็บรหัสทางพันธุกรรมของรุ่นพ่อ-แม่ไว้นั่นเอง

5. มีการเจริญเติบโตและพัฒนารูปร่าง (growth and development)ในสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว หลังจากมีการสืบพันธุ์ให้ลูกหลานแล้ว เซลล์ลูกเริ่มแรกจะมีขนาดเล็กหลังจากได้รับสารอาหารจะมีการเจริญเติบโตขยาย ขนาดใหญ่ขึ้นและพัฒนาจนเป็นเซลล์ที่พร้อมจะสืบพันธุ์ได้ (mature cell) ในสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์จะมีกระบวนการเจริญเติบโตและพัฒนาที่ซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งประกอบด้วย กระบวนการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของเซลล์ (cell differentiation) เพื่อให้เหมาะกับการทำหน้าที่แต่ละอย่าง เช่น การเปลี่ยนแปลงรูปร่างเซลล์ต้นกำเนิดของเซลล์กล้ามเนื้อเพื่อให้เหมาะสมกับ การทำหน้าที่เคลื่อนไหวของร่างกาย เป็นต้น

6. ต้องการพลังงาน (energy) และสร้างพลังงานสิ่งมีชีวิตต้องการพลังงานเพื่อนำมาสร้างสาร ATP (adenosine triphosphate) โดยผ่านกระบวนการเมแทบอลิซึม (metabolism) ATP เป็นสารที่ใช้ในการขับเคลื่อนกิจกรรมต่างๆภายในร่างกายสิ่งมีชีวิต เช่น การสืบพันธุ์ การเจริญเติบโต การเคลื่อนไหว ฯลฯ พลังงานที่สิ่งมีชีวิตต้องการดังกล่าวอาจได้มาจากแหล่งต่างๆ เช่น พืช ได้พลังงานจากแสงอาทิตย์ สัตว์ได้พลังงานจากปฏิกิริยาเคมีของสารอินทรีย์และสารอนินทรีย์ ไวรัส ได้พลังงานจากสิ่งมีชีวิตอื่น

7. มีการรับรู้ต่อสิ่งเร้าที่มากระตุ้น (sensitivity)สิ่งมีชีวิตสามารถรับรู้และตอบสนองต่อสิ่งเร้าจากสิ่งแวดล้อม ที่อาศัยอยู่ในลักษณะต่างๆ กัน เช่น การเจริญเข้าหาแสงของต้นพืช การเจริญเติบโตช้าลงของจุลินทรีย์เมื่ออยู่ในที่อุณหภูมิิต่ำ 4 องศาเซลเซียส การเคลื่อนที่เข้าหาสารอาหารของพารามีเซียมเป็นต้น

8. มีปฏิสัมพันธ์ (interaction) กับสิ่งแวดล้อมสิ่งมีชีวิตมีลักษณะเป็นระบบเปิด (open system) ซึ่งสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมได้ตลอดเวลาโดยมีการรับพลังงาน สารอาหารเข้าสู่ร่างกาย และขับถ่ายของเสียออกสู่สิ่งแวดล้อมรวมทั้งมีความสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิต อื่นในรูปแบบต่างๆ เช่น การอยู่ร่วมกันแบบพึ่งพาอาศัย (symbiosis) การเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน (antagonism) และการเบียดเบียนสิ่งมีชีวิตอื่น (parasitism) เป็นต้น

ชีวจริยธรรม

ชีวจริยธรรม (bioethics) หมายถึงการปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิตอย่างมีคุณธรรม ไม่ทำร้าย หรือทำอันตรายต่อสัตว์หรือมนุษย์เพื่อการศึกษาหรือการวิจัย

จรรยาบรรณ ในการใช้สัตว์ทดลอง สำนักงานคณะกรรมการการวิจัยแห่งชาติ ได้กำหนดจรรยาบรรณการใช้สัตว์เพื่องานวิจัย งานสอน งานทดสอบ และงานผลิตชีววัตถุไว้ดังนี้
1. ผู้ใช้สัตว์ต้องตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตสัตว์
2. ผู้ใช้สัตว์ต้องตระหนักถึงความแม่นยำของผลงานโดยใช้สัตว์จำนวนน้อยที่สุด
3. การใช้สัตว์ป่าต้องไม่ขัดต่อกฎหมายและนโยบายการอนุรักษ์ป่า
4. ผู้ใช้สัตว์ต้องตระหนักว่าสัตว์เป็นสิ่งมีชีวิตเช่นเดียวกับมนุษย์
5. ผู้ใช้สัตว์ต้องบันทึกการปฏิบัติต่อสัตว์ไว้เป็นหลักฐานอย่างครบถ้วน






การ กำกับดูแลให้ผู้ใช้สัตว์ปฏิบัติตามจรรยาบรรณการใช้สัตว์ ทั้งระดับองค์กร และระดับชาติ ต้องจัดให้มีคณะกรรมการกำกับติดตามดูแลรับผิดชอบ เช่น ในระดับชาติได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการการวิจัยแห่งชาติ และกองบรรณาธิการของวารสารที่ตีพิมพ์ผลงานวิจัย

การโคลน

โคลน นิ่ง (cloning) หรือการโคลน หมายถึงการคัดลอกหรือการทำซ้ำ (copy) ในทางชีววิทยา หมายถึง การสร้างสิ่งมีชีวิตใหม่ที่มีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนเดิมทุกประการ

ประโยชน์ ของการโคลน ช่วยให้สร้างสัตว์ที่มีลักษณะทางพันธุกรรมตามที่เราต้องการได้เป็นจำนวนมาก เช่น สัตว์ที่ให้น้ำนมมาก มีความต้านทานโรคสูง สัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ ข้อเสียของการโคลนก็คือ สถิติความสำเร็จมีน้อยมาก ในการโคลนแกะดอลลี ใช้ไข่ถึง 277 เซลล์ แต่ประสบผลเพียง 1 เซลล์ คิดเป็นร้อยละ 0.4 แต่นักวิทยาศาสตร์และกลุ่มคนที่ชอบยังคงมีความหวัง บางกลุ่มสนใจที่จะให้โคลนมนุษย์ ซึ่งเป็นประเด็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมาก เพราะมนุษย์ที่เกิดจากการโคลนไม่มีพ่อและแม่ที่แท้จริง และอาจมีอุปนิสัยใจคอต่างไป แม้จะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับบุคคลเจ้าของเซลล์ต้นกำเนิด อาจก่อให้เกิดปัญหาทางสังคม แต่ในวงการแพทย์มีการวิจัยการโคลนเอ็มบริโอของคนโดยมีเป้าประสงค์เพื่อนำ อวัยวะไปทดแทนผู้ป่วย เช่น ไต เป็นต้น แต่ก็เป็นการทำให้มนุษย์โคลนมีอวัยวะไม่ครบ บางประเทศจึงไม่สนับสนุน โดยเหตุนี้ทุกประเทศทั่วโลกจึงห้ามการโคลนมนุษย์ แต่บางประเทศได้ร่างกฎหมายเกี่ยวกับชีวจริยศาสตร์เพื่อขออนุญาตให้ใช้ตัว อ่อนมนุษย์ในการทำวิจัย เช่น ฝรั่งเศส อังกฤษ จีน และญี่ปุ่น

การทำแท้ง

ตาม หลักศาสนา ถือว่าการทำแท้งเป็นสิ่งไม่ดี ผิดศีลธรรม เป็นบาป แต่เมื่อไม่นานในสหรัฐอเมริกามีบางกลุ่มถือว่าการท้องเป็นเรื่องส่วนตัว และกล่าวว่าเด็กในครรภ์เป็นส่วนหนึ่งของอวัยวะสตรี จึงมีสิทธิที่จะเลือกให้เด็กอยู่ในครรภ์หรือไม่ กลุ่มนี้เรียกว่า พวก pro-choice ส่วนกลุ่มตรงข้ามมีความเห็นว่าเด็กในครรภ์เป็นสิ่งมีชีวิตที่จะถือกำเนิดมา เป็นมนุษย์ การทำแท้งถือเป็นฆาตกรรมอย่างหนึ่ง ความเห็นของกลุ่มนี้เรียกว่า pro-life ในประเทศไทยมีการอนุมัติให้ขายยา RU 486 ที่ทำให้เกิดการแท้ง และมีกฎหมายอนุญาตให้ทำแท้งได้ 2 กรณี คือ

1. สุขภาพกาย สุขภาพจิตของหญิงผู้เป็นแม่ และสุขภาพของทารกในครรภ์ ไม่ดี เช่น ติดเชื้อ HIV เป็นโรคต่อมไร้ท่อ โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง โรคธาลัสซีเมีย มีภาวะปัญญาอ่อน

2. การตั้งครรภ์เพราะถูกข่มขืน

สิ่งมีชีวิต GMOs

สิ่ง มีชีวิต GMOs หรือสิ่งมีชีวิตตัดแต่งพันธุกรรม GMOs ย่อมาจากคำว่า genetically modified organisms หมายถึงสิ่งมีชีวิตที่มีการตัดและต่อยีนด้วยเทคนิคพันธุวิศวกรรม (genetic engineering) ทำให้มีลักษณะพันธุกรรมตามที่ต้องการ มีประโยชน์ ดังเช่น

1. สารที่ผลิตโดยจุลินทรีย์แปลงพันธุ์ มีหลายชนิดมีประโยชน์ เช่น ช่วยขยายหลอดเลือด ฟื้นฟูกระดูกภายหลัง การปลูกถ่ายไขกระดูก ลดน้ำหนองในปอดของคนไข้ กระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อที่เกิดจากบาดแผลไฟไหม้ กระตุ้นการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง ช่วยแก้ความเป็นหมัน ช่วยในการดูดซึมกลูโคส ฯลฯ

2. สารที่ผลิตโดยพืชแปลงพันธุ์ มีหลายชนิด เช่น แครอท ทำให้เนื้อเหนียวขึ้น มะเขือเทศ ช่วยควบคุมการสุกของผล มะละกอมีความทนทานต่อไวรัสโรคใบด่าง ผักกาดหอมต้านทานต่อโรค ทานตะวันทำให้เมล็ดมีโปรตีนเพิ่มขึ้น ข้าวโพดทนทานต่อยาปราบวัชพืช ฯลฯ

3. สารที่ผลิตโดยสัตว์แปลงพันธุ์ มีหลายชนิด เช่น วัวผลิต GH ฮอร์โมนช่วยเพิ่มผลผลิตน้ำนม หนูผลิต GH ของคนช่วยเพิ่มความสูงของคนเตี้ยแคระ กระต่ายผลิตสาร EPO กระตุ้นการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงสำหรับคนป่วยโรคโลหิตจางเนื่องจากไตวาย เป็นต้น

อันตรายจากอาหารที่ได้จากสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม (GE foods หรือ GM foods) แม้จะยังไม่มีข้อมูลรายงานชัดเจน แต่ก็ก่อให้เกิดความหวั่นวิตก และเกรงจะเกิดภัยอันตรายแก่มนุษย์

แม้ ว่าศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีแห่งชาติ ได้พยายามชี้แจงว่าผลิตภัณฑ์ GMO ยังไม่เกิดอันตรายอย่างเด่นชัด แต่เราในฐานะผู้บริโภคควรระวังตนไว้ก่อน สิ่งใดมีคุณอนันต์ก็อาจก่อให้เกิดผลเสียอย่างมหันต์ได้ ถ้าไม่จำเป็นก็ควรหลีกเลี่ยงการบริโภค หรือถ้าบริโภคก็ไม่ควรซ้ำ ๆ ต่อเนื่องกัน


การคายน้ำของพืช (3) การงาน (1) การงานอาชีพ (2) การแบ่งเซลล์ (2) การลำเลียงน้ำของพืช (1) การลำเลียงอาหารของพืช (1) การเลือกซื้อ (1) ความกตัญญูรู้คุณ-พ่อแม่-ครูอาจารย์-ญาติมิต (1) ความร่วมมือ (1) ความรู้เบื่องต้นเกี่ยวกับ aec (1) คำไวพจน์ (1) โครงสร้างของดีเอ็นเอ (3) งานประดิษฐ์เอกลักษณ์ไทย (1) ชีววิทยา (7) ชีววิทยา ม.6 (1) ตอบคำถาม (1) ตัวอย่างคำไวพจน์ (1) แบบทดสอบเรื่อง used to (1) ประวัติศาสตรโรมัน (1) ภาษาไทย (1) ระบบกระดูก (skeleton system) (1) ระบบฟิวดัลและระบบแมเนอร์ (1) รูปแบบการปกครองแบบแมเนอร์ (1) สำนวนอังกฤษ (1) สิ่งมีชีวิต (8) สื่อการเรียนร็ู (1) หลักการซื้อสินค้าและบริการ (2) อังกฤษ (1) อาชีพ (2) english (1) English Idioms (1) get used to (2) RNA (2) WATER CONDUCTION (2)